สาระธรรม จากธรรมะห่มดอย

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตบนเส้นทางธรรม

"สิ่งที่ได้เรียนรู้ชีวิตบนเส้นทางธรรม"

#สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า

....1) จุดเริ่มต้นทำความเห็นให้ถูก คือ มีความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ) เมื่อเราเชื่อในสิ่งใด เราจะเอาชีวิตไปจมอยู่กับสิ่งนั้น คำสอนใด ความเชื่อใด ที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ คลายออกจากทุกข์ สู่การตื่น รู้ เบิกบาน เราไม่ควรไปยึดในคำสอนนั้นเป็นเครื่องอยู่ของชีวิต ความเห็นที่ถูกต้อง คือ เห็นทุกสรรพสิ่งเป็นพระไตรลักษณ์ ล้วนเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์คงสภาพเดิมไม่ได้ ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ เห็นอริยสัจจ์ เห็นว่าทุกข์ คือ ความจริงควรกำหนดรู้ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ควรละ นิโรธความดับทุกข์ควรทำให้แจ้ง มรรคหนทางแห่งความดับทุกข์ ควรปฏิบัติบนวิถีทางนี้

....2)ชีวิตจะไม่ทุกข์มาก หรือไม่ทุกข์เลย หากวางใจได้ในสิ่งที่มากระทบ(ผัสสะ) เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หากเรามีสติตื่นรู้ จิตตั้งมั่น ไม่หลงปรุงแต่งตามอารมณ์ ผัสสะเกิดขึ้นมันก็ดับไป จะไม่ส่งผลให้จิตเราทุกข์หรือสุขได้ ที่สำคัญต้องทำลายความเป็นตัวตนของเราลงให้ได้ เมื่อไม่มีตัวตนให้กระทบ สิ่งทั้งหลายก็จางคลายไปเอง หากเราไม่มีตัวตน สำคัญว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา รองรับอารมณ์ทั้งหลาย เราจะไม่ทุกข์เพราะสิ่งทั้งหลายมากระทบ การคลายความยึดถือในกาย ในใจของตนเองลง จะทำให้สามารถละความเห็นผิด ละการให้ความสำคัญของตนเอง ละความยึดถือว่าเราต้องดี เด่น สำคัญเสมอ เมื่อเราละตัวตนได้ แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความว่าง ว่างจากการปรุงแต่ง ว่างจากการยึดถือ

....3) ให้เข้าใจธรรมชาติตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรแน่นอน ว่าอะไรๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เมื่อมีความสุขก็ให้รู้ว่าเดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เมื่อมีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่าเดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่าเรื่องราวเหล่านี้ ก็ผ่านไปเช่นกันตามธรรมชาติของมัน ตามธรรมชาติแล้วไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับสลายไป หากไม่ยึดมันเอาไว้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ดับไป พระพุทธเจ้าทรงสอนเราว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันขึ้นมาแค่ชั่วคราว พอถึงเวลาก็สลาย แยกธาตุแยกขันธ์ แตกดับกันไปของใครของมันสู่สภาพดั่งเดิม ไม่มีอะไรมีอยู่จริง ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับสลายไปสู่ธรรมชาติ

....4) ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และการพลัดพราก คือ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอเสมอกัน จะเป็นใครก็ตามย่อมหนีไม่พ้น จะทุกข์มากถ้าไม่เตรียมใจไว้ก่อน จะทุกข์น้อยลงถ้าเตรียมใจไว้เจอ จะไม่ทุกข์เลย ถ้าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นแค่สภาวะอันเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น

....5) วางใจให้เป็นกลางในการรับรู้สิ่งต่างๆในชีวิต จริงๆแล้วทุกอย่างมันก็ถูกของมันอยู่แล้ว มีแต่ใจของเราที่ผิด ที่หลงไปปรุงแต่ง ไปจัดการ ไปแทรกแซงให้เกิดความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง เมื่อมีอารมณ์อะไรมากระทบกายใจก็ให้กำหนดรู้ รับรู้ในจิตใจที่เป็นกลาง ไม่ไปเติมความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งทั้งหลาย อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต ขึ้นอยู่ที่เราหยิบมันขึ้นมาปรุง ปรุงให้สุข มันก็สุข ปรุงให้ทุกข์ มันก็ทุกข์ ถ้าไม่หยิบมาปรุงเลย มันจะผ่านไปเลย ไม่สุข ไม่ทุกข์ทั้งนั้น เพียงแค่นี้ใจเราจะเบาสบาย โปร่งโล่ง ปีติสุข

....6) จิตที่คลายความยึดมั่นถือมั่นออกได้ย่อมสงบ บริสุทธิ์ ว่าง จิตผู้ใดที่เข้าสู่ความว่าง ความสงบ ความหลุดพ้นได้ จิตผู้นั้นต้องเห็นพระไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติของมัน เห็นความไม่เที่ยงแท้ในสิ่งทั้งหลาย เห็นความไม่มีตัวตน เห็นความทุกข์ เมื่อจิตเห็นความจริง จิตจะคลายออก สลัดคืน คลายในความยึดถือในสิ่งทั้งหลายไปเอง

....7) เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่วัดได้ว่า ปฏิบัติถูก คือ หลายสิ่งในชีวิตจะค่อยลดลงและหายไปจากชีวิตหรือกายกับใจก็ คือ ความโกรธได้ลดและหายไป ความหม่นหมองวิตกกังวลก็หายไป ความเศร้าโศกท้อแท้ก็หายไป ความกังวลไม่สบายใจได้หายไป ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความหลงได้หายไป ความไม่รู้(อวิชชา)ได้หายไป คงเหลือแต่ความว่างเปล่า(สุญตา) จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย มีแต่ความหลุดพ้น(วิมุตติ) เท่านั้นที่เราได้ สุดท้ายเราจะได้แต่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลาย

สาระธรรม จาก พระดร.อรุณเมธี พุทฺธิภทฺโท

ชีวิตในวันที่แย่...ให้แผ่เมตตา

การแผ่เมตตา ทำให้จิตใจเราดี มีความรัก ความเอื้อเฟื้อแก่ชีวิตคนอื่น

"ชีวิตในวันที่แย่...ให้แผ่เมตตา ชีวิตจะก้าวพ้นความทุกข์ยากไปได้"

.

...ในวันที่ชีวิตมีปัญหา อุปสรรครุมเร้ามากๆ จิตของเราจะถูกกด จะปกคลุมไปด้วยความทุกข์ ความหดหู่ ความเศร้าโศกเสียใจ ความคับแค้นใจ จิตใจจะอึดอัด ไม่โป่งใส ไม่เบาสบาย ดังนั้น การแผ่เมตตาจะช่วยให้เราสามารถคลายความทุกข์ในจิตใจเราได้ การแผ่เมตตาจะช่วยให้เราปลดเปลื้องเจ้ากรรมนายเวรได้ จะกลายเป็นอโหสิกรรมในที่สุด ชีวิตในวันที่แย่ ในยามท้อแท้ ขอให้เราแผ่เมตตา ทั้งแบบเจาะจง และแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณ ชีวิตก็กลับมาดีได้ เมื่อชีวิตต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก มันเป็นเวลาของผลกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ที่มาจากการกระทำของเราเองในอดีตที่ส่งผลหนักมากกว่าบุญที่เรามี ในช่วงที่กรรมไม่ดีส่งผลนั้น เราทำอะไรดูแย่ไปหมด การงานมีปัญหา การเงินติดขัด บางคนต้องคดีความ ความสัมพันธ์คนในครอบครัว คนใกล้ชิด คนรอบข้างพังพินาศไร้การเหลียวแลช่วยเหลือไม่ใช่ปีชง ไม่ใช่ดวงดาวเคลื่อนย้าย ไม่ใช่ราหูทับซ้อนอะไรทั้งนั้น ผลที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุการกระทำของเรานั่นเอง และจากที่เราไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรเอาไว้

.

...การสร้างบุญ และคุณงามความดีในปัจจุบัน จึงจะสามารถเยียวยาความผิดพลาดในอดีตได้ เริ่มจากสร้างบุญใหม่ เริ่มต้นง่ายๆที่ตัวเรา คือ ให้ทาน รักษาศีล และเจริญจิตภาวนา ทำจิตให้ตั้งมั่นเร่งพัฒนาตนเองให้อยู่ในกรรมดีมากขึ้น เมื่อพิจารณาแล้ว ให้ตั้งจิตรวมบุญใหม่ที่ทำในปัจจุบัน และบุญที่เคยทำมาทุกภพทุกชาติ แล้วแผ่เมตตาออกไป เพื่อขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรมต่อทุกคน สัตว์ ที่เราเคยกระทำต่อใคร บุคคลใดก็ตามทั้งที่เจตนาและไม่ได้เจตนา เมื่อสร้างบุญไม่ว่าเรื่องใดให้อุทิศบุญแผ่เมตตาทันทีทำได้ตลอดเวลา

.

...การเจริญเมตตาธรรมอยู่เนืองนิตย์ แผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ ย่อมทำให้จิตใจของเราสงบร่มเย็น เบาสบาย สงบ มีความสุข ทุกครั้งที่เราแผ่เมตตา จิตจะโป่งโล่ง สุขสบาย เมื่อจิตเราสบาย ตั้งมั่นมีสติสัมปชัญญะ จิตจะมีพลังในการทำการงานต่างๆได้ดี แล้วเราจะนำชีวิตก้าวข้ามปัญหา อุปสรรคไปได้ด้วยจิตใจที่ตื่นรู้

สาระธรรม จาก : พระดร.อรุณเมธี

มองโลกอย่างที่มันเป็น

มองโลกอย่างที่มันเป็น

....มองโลกตามความเป็นจริง คือ มองอย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไป ไม่ปรุงแต่งตามใจอยากให้มันเป็น ไม่บิดเบือน มันเป็นเช่นไรก็มองเห็นมันเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติเขาเป็นเช่นไรก็รู้เห็นไปตามเช่นนั้น การมองโลกตามจริง ต้องเกิดจากสัมมาทิฐิ ที่เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกฎธรรมชาติของมัน เมื่อเรามองโลกตามความเป็นจริงย่อมเป็นประโยชน์ต่อชีวิตในการเข้าใจความจริง ดังนี้

....1)เห็นความจริง ที่ผ่านมาคนส่วนมากมักจะมองเห็นโลกอยู่ 3 แบบ คือ มองเห็นโลกอย่างที่เราอยากให้มันเป็น มองเห็นโลกอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น และมองเห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรามองหรือคนอื่นมอง พระพุทธเจ้าทรงให้เรามองโลกอย่างที่มันเป็น มองให้เห็นความจริง เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง ไม่มีตัวตนให้ยึดถือเป็นอนัตตา เมื่อยึดมั่นเอาไว้ย่อมเป็นทุกข์ เมื่อมองผ่านสิ่งเหล่านี้ ย่อมทำให้เห็นความจริงที่ว่า ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรที่มั่นคง แน่นอน ไม่มีสิ่งใดควรยึดถือ ก็จะมองเห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เห็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ และเห็นหนทางแห่งการดับทุกข์

....2)ยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น หากกำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ปัญหา อุปสรรคต่างๆในชีวิต สิ่งที่ควรทำมากที่สุด คือ การยอมรับความจริง ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตรู้เห็นตามความเป็นจริง หลายคนอาจจะไม่อยากรับรู้ด้วยซ้ำว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ลองมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แล้วดึงสติสัมปชัญญะมารู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น พิจารณาลงไปว่าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีหรือแนวทางแก้ไขอย่างไร จะดับความทุกข์ด้วยวิธีใด การมองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น ย่อมจะทำให้เรายอมรับความจริงได้ง่าย ปล่อยวางได้ไว

....3)มีเหตุมีผล มองสิ่งทั้งหลายด้วยเหตุและผล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีสาเหตุของมัน ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เพราะมีเหตุให้เกิดทุกข์มาก่อน จึงมีทุกข์ การมองโลกตามความเป็นจริง จะทำให้มองเห็นกระบวนการปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไป จะทำให้มองสิ่งทั้งหลายด้วยเหตุและผล การมองด้วยเหตุผลจะช่วยให้เราไม่ไปโทษใคร โทษสิ่งใด ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยของมันเช่นนั้น

....4)มองเห็นความจริงชัดเจนขึ้น การมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงของมัน เป็นการมองเห็นที่ไม่เจือไปด้วยอคติส่วนตัวลงไป สิ่งที่เห็นจะไม่ถูกแต่งแต้มไปด้วยความพอใจ และไม่พอใจ เป็นการมองลงไปอย่างที่มันเป็น อย่างที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เราจะเห็นสิ่งทั้งหลายที่ชัดเจนขึ้น เพราะสิ่งที่เราเห็นไม่ถูกปรุงแต่งไปด้วยความเห็น ความรู้สึก หากเรามองเห็นความจริงที่ชัดเจน เราจะวนอยู่กับโลกของความคิด จนไม่รู้สึกตัวว่าเรากำลังทุกข์ และทุกข์เพราะอะไร จึงออกจากวังวนแห่งทุกข์ไม่ได้ การมองเห็นความจริงอันประเสริฐ คือ การมองเห็นกระบวนการอริยสัจจ์ 4 คือ เห็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ เห็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ ก็กำหนดละเสีย เห็นความดับแห่งทุกข์ ควรทำให้แจ้ง และเห็นหนทางดำเนินไปสู่การดับทุกข์ ควรประพฤติปฏิบัติ

....5)ปล่อยวางได้ง่าย การมองเห็นความจริงตามธรรมชาติ เห็นความไม่แน่นอน เห็นโทษเห็นภัย ย่อมทำให้จิตเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สลัดคืน ปล่อยวางลงสู่ธรรมชาติไป หากชีวิตยึดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ สุดท้ายก็ย่อมต้องทุกข์เพราะสิ่งนั้นเปลี่ยนไป แตกสลายไป ดับสิ้นไป การรู้แล้วปล่อย รู้แล้ววาง รู้แล้วละ จะทำให้เราอยู่กับโลก อยู่กับคน อยู่กับสิ่งทั้งหลาย โดยที่ใจเราไม่ทุกข์ตาม

สาระธรรม จาก : พระดร.อรุณเมธี

เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่เราหนีมันไม่ได้

อะไรก็ตามที่เราหนีมันไม่พ้น

เราควรที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้

นี่คือ..ศิลปะการอยู่กับโลก อย่างไม่ทุกข์

.

ความแก่ เราหนีมันไม่พ้น

ความเจ็บ โรคภัย เราก็หนีมันไม่พ้น

ความตาย เราก็หนีมันไม่พ้น

การพลัดพราก จากลา เราก็หนีมันไม่พ้น

ความผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ เราก็หนีไม่พ้น

ความทุกข์ เราก็หนีมันไม่พ้น

มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ

มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์

ทุกอย่างล้วนอยู่กับเราแค่ชั่วคราว

ไม่มีอะไรมาแล้วไม่ไป

อย่ายึดติดกับอะไรมากให้ใจต้องทุกข์

.

ลองเรียนรู้อยู่กับสิ่งที่เราต้องเจอ

ต้องอยู่กับมันทุกวัน ทุกเวลา

ให้มองทุกอย่างแค่ชั่วคราว

มันเกิดเดี๋ยวมันก็ดับ มันมีเดี๋ยวมันก็หาย

มันมาเดี๋ยวมันก็ไป จงอยู่กับความไม่แน่นอน

อย่าให้ใจเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป

จงเรียนรู้อยู่กับมันให้ได้

.

สาระธรรม จาก : พระดร.อรุณเมธี

"ทุกข์เกิดที่ใจต้องดับที่ใจ... ในความเป็นจริงไม่มีใครที่ทำให้เราทุกข์ได้"

"ทุกข์เกิดที่ใจต้องดับที่ใจ ในความเป็นจริงไม่มีใครที่ทำให้เราทุกข์ได้"

.

...หากพิจารณาความทุกข์ทั้งหลายในชีวิตของเรา จริงๆแล้วเราไม่ได้ทุกข์เพราะใคร แต่ทุกข์เพราะใจของเราเอง ที่เข้าไปยึดถือเอาสิ่งทั้งหลายเข้ามาใส่ในชีวิต จึงทำให้ใจต้องแบกเรื่องราวต่างๆเอาไว้ มันเลยทุกข์ หากจะดับความทุกข์ก็ต้องมาดับที่ใจ ยิ่งไปดับทุกข์ที่อื่น ทุกข์ยังมีเหมือนเดิม ยิ่งจะเพิ่มทุกข์ขึ้นอีก

.

...เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นในชีวิต เรามักจะโทษผู้อื่น มองว่าคนอื่นคือสาเหตุ เวลาจะแก้ไขความทุกข์ของตนเองจึงพยายามหาวิธีไปดับหรือแก้ที่คนอื่น เมื่อไม่สบายใจ ทุกข์ใจ เรามักจะโทษคนอื่นว่าทำให้เราทุกข์ แต่ในความเป็นจริงทุกข์มันเกิดขึ้นที่ใจของเรา หากเราวางใจเป็น คนอื่นไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้ มีแต่เราต่างหากที่ทำให้ตัวเองทุกข์อยู่ทุกเวลา

.

...แม้ใครจะทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ หากเราไม่หยิบเอาเรื่องราวของเขามาคิดให้เกิดความชอบ ไม่ชอบ การกระทำ คำพูด ความคิดของคนอื่นจะไม่มีผลต่อจิตใจของเราเลย ทุกข์มันไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่มันเกิดจากใจของเรา หลงไปหยิบเอาเรื่องราวต่างๆมาคิด ปรุง จนเกิดคิดมาก เครียด กังวล เป็นทุกข์

.

...หากเราใช้ชีวิตเข้าใจความเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติของคน ของสิ่งทั้งปวง แล้วรู้ธรรมชาติของเขาเป็นเช่นนั้น ใจเราจะยอมรับความจริง แล้วปล่อยวางได้ง่ายๆ ไม่ถือสาเอาเรื่องราวต่างๆมาคิดให้ใจตนเองต้องทุกข์อีกต่อไป

.

สาระธรรม จาก : พระดร.อรุณเมธี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy